Nike Air Jordan ถือว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าที่มีผู้ที่ชื่นชอบและสะสมเยอะที่สุดในโลก ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและเรื่องราวที่ทำให้ทุกคนต่างต้องการที่จะครอบครองมาให้ได้ตั้งแต่ปี 1985 จนมาถึงปัจจุบันและในครั้งนี้ SEEK จะพา Seeker ทุกคนไปย้อนดูรองเท้า Air Jordan ที่สร้างประวัติศาสตร์และเปลี่ยนวงการรองเท้าไปตลอดกาลตั้งแต่รองเท้าที่เริ่มต้นคำนิยามของ Air Jordan ไปจนถึงรองเท้าที่ทำให้ Michael Jordan ยินดีที่จะอยู่ต่อกับ Nike จนทำให้เปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการรองเท้าไปตลอดกาลครับ

Banned From The Game

ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่มีคนพูดถึงมากที่สุด เกี่ยวกับ Nike Air Jordan ในปี 1985 Nike ได้ปล่อยโฆษณา Air Jordan I สี Black/Red หรือ Bred พร้อมกับคำบรรยาว่า "ในวันที่ 15 กันยายน Nike ได้สร้างรองเท้าบาสเก็ตบอลรุ่นใหม่ที่จะปฏิวัติวงการรองเท้าบาสเก็ตบอล และต่อมา วันที่ 18 ตุลาคม NBA สั่งห้าม ไม่ให้ใส่เล่นในเกมส์ NBA แต่น่าเสียดายที่ NBA ไม่สามารถหยุดคุณไม่ให้ใส่รองเท้ารุ่นนี้ได้" เรียกว่าสร้างความฮือฮาจนทำให้ทุกคนต่างซื้อรองเท้ารุ่นนี้กันอย่างแพร่หลาย แต่หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วรองเท้ารุ่นนี้ไม่ได้เป็นรองเท้าที่ NBA สั่งห้ามใส่ในการแข่งขัน ย้อนกลับไปในปี 1984 ซึ่งเป็นปีแรกที่ Michael Jordan เล่นให้กับทีม Chicago Bulls รองเท้าคู่แรกที่ Jordan ใส่ไม่ใช่รองเท้าของเขาเองแต่เป็นรองเท้าบาสเก็ตบอลชื่อ Air Ship ซึ่งเวลานั้นเขาได้ใส่ทั้งหมด 3 สี คือ White/Natural Grey, White/Red และ Black/Red ซึ่งสีสุดท้ายเป็นสีที่ NBA สั่งห้าม ไม่ให้นำมาใส่เล่น เนื่องจากสีของรองเท้าผิดกฏของ NBA ในสมัยนั้น และเมื่อย้อนกลับไปดูช่วงเวลาตาม จดหมาย Banned ของ NBA แล้ว เป็นเวลาก่อนที่ Air Jordan I จะออกจำหน่ายเสียอีก

It's Gotta Be The Shoes !!!

Nike Air Jordan III ถือว่าเป็นรองเท้าที่เปลี่ยนวงการรองเท้ากีฬาไปตลอดกาล เรื่องมีอยู่ว่า ในช่วงปี 1987 เป็นช่วงที่สัญญากับ Michael Jordan กำลังจะหมดลงประกอบกับ Peter Moore ซึ่งเป็น Creative Designer และ Rob Strasser รองประธานของ Nike กำลังจะลาออกเช่นกันทำให้ Michael Jordan รู้สึกไม่มั่นใจในตัวแบรนด์ทำให้ Jordan เริ่มหาแบรนด์ใหม่ ทันใดนั้นก็มีนักออกแบบรองเท้าที่ชื่อ Tinker Hatfield ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่มากเพราะถือว่าเป็นไม้ตายสุดท้ายที่จะให้ Jordan ยังอยู่กับ Nike ก่อนที่จะนำเสนอ Air Jordan III ให้กับ Jordan Hatfield ได้บินไปหา Jordan เพื่อไปสอบถามและหาแรงบันดาลใจในการออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ และนำ Style ของ Jordan มาปรับกับรองเท้ารุ่นนี้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ได้วัสดุที่สามารถรวมขีดความสามารถในการใช้งานกับรูปทรงที่เข้าสมัย จึงได้วัสดุใหม่ทั้ง Nubuck ที่ทำเป็นลายหนังช้างหรือ Elephant Print, หนังในส่วน Upper ที่เราว่า Floater ที่จะย่นด้วยตัวของมันเองและยิ่งหนังย่นเท่าไหร่ รองเท้าก็ยิ่งนุ่มเท่านั้น ในวันที่ Hatfield เสนอรองเท้า เขาต้องรอ Jordan ถึง 4 ชั่วโมง เนื่องจาก Moore และ Strasser ได้ตีกอล์ฟกับ Jordan เพื่อหารือเรื่อง Product Line ใหม่เพื่อพิจารณาหลังจากหมดสัญญากับ Nike เมื่อ Jordan มาถึงที่ห้องประชุม Hatfield ก็โชว์แบบรองเท้าต่าง ๆ รวมถึง ไอเดียของรองเท้ารุ่นนี้ Jordan รู้สึกโอเคว่ามีคนที่ฟังความคิดเขาแต่ด้วยความที่เขาชอบให้เห็นของจริง Hatfield ก็เลยเปิดผ้าคลุมขึ้นมาโชว์ตัวรองเท้าจริง ๆ Jordan เห็นก็เป็นปลื้มที่รองเท้ารุ่นนี้เป็นตามแบบที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้ Air Jordan III ถือว่าเป็น Air Jordan รุ่นแรกที่ฉีกกรอบเดิม ๆ จากรองเท้ารุ่นก่อนด้วยทรงรองเท้าแบบ Mid-Cut ที่ต่างจากรุ่นก่อน Air Bubble ที่สามารถมองเห็นได้ ตรา Jumpman ที่ถูกใช้ครั้งแรกตรงลิ้นที่มองเห็นได้ชัดเจน ตรง Swoosh ด้านข้างถูกย้ายไปที่ Heel พร้อมกับคำว่า Nike Air เขาเลยยินดีที่จะต่อสัญญากับ Nike จนมาถึงทุกวันนี้ และได้เปลี่ยนวงการรองเท้าไปตลอดกาล

The Shot

อีก 1 รุ่นที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยหน้า Air Jordan III คือ Air Jordan IV เปิดตัวในปี 1989 หลังจาก Air Jordan III 1 ปี เหตุการณสำคัญที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้โดยเฉพาะคู่สี Black/Red หรือ Bred เป็นที่น่าจดจำเนื่องจากในปีเดียวกัน Michael Jordan ใส่รองเท้ารุ่นนี้แข่งกับทีมคู่แข่งอย่าง Cleveland Cavaliers โดยตอนนั้น Chicago Bulls ตามอยู่ 1 แต้ม 100-99 และในเวลา 3 วินาทีสุดท้าย Jordan รับบอลและชู้ตลงห่วงทำให้ Chicago Bulls เอาชนะไปได้ สำหรับ Air Jordan IV ถูกออกแบบใหม่โดยเป็นครั้งแรกที่ใช้ Midsole แบบเต็มเท้า Wing Flaps ทรงสามเหลี่ยมที่ทำหน้าที่เหมือนรูร้อยเชือก และได้ใช้ตรา Jumpman Flight ที่ลิ้นรองเท้าเป็นครั้งแรก เท่านั้นไม่พอ รองเท้ารุ่นนี้ยังได้เป็นหนึ่งใน Pop Culture Icon ในยุค 90s เมื่อได้ถูกนำไปใช้ในหนังเรื่อง Do The Right Thing ซึ่งกำกับโดย Spike Lee ผู้ที่กำกับและแสดงในโฆษณา Air Jordan III เจ้าของวลี "Do You Know? Do You Know? Do You Know?" และ "It's Gotta Be The Shoes !!!" เป็นฉากที่ Mookie ตัวละครในเรื่องใส่ Air Jordan IV แล้วถูกจักรยานเหยียบจนเป็นรอยทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่งจึงต่อว่า ทำให้ฉากนี้เป็นที่จดจำสำหรับ Jordan Fans ทุกคน

The Number 12

ในปี 1990 Nike เปิดตัว Air Jordan V ที่เป็นการนำทรงรองเท้าแบบ High Top กลับมาอีกครั้งการนำแรงบันดาลใจมาจากเครื่องรบ P-51 Mustang มาใช้ จะเห็นได้จาก Midsole แบบฟันฉลามซึ่งคล้ายคลึงกับลายบนเครื่องบินรบอีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในการใช้วัสดุ Reflective ตรงลิ้นรองเท้า พื้นรองเท้าเป้นสีขุ่น ๆ ทำให้รองเท้ามีมิติขึ้นมา อีกทั้งตัวรองเท้าถูกทำให้เบาลงแต่นุ่มขึ้นทำให้รองเท้ารุ่นนี้เป้น 1 ใน Air Jordan ที่ใส่สบายที่สุด แล้วหมายเลข 12 คืออะไร? ถือว่าเป็นเรื่องน่าฉงนเรื่องหนึ่ง ครั้งที่ Chicago Bulls เดินทางไปแข่งกับ Orlando Magic แล้วเขาใส่เสื้อ Jersey ไม่มีชื่อ เบอร์ 12 ออกมา สร้างความงุนงงให้กับคนดูและผู้พากษ์ที่มาของเรื่องนี้ไม่แน่ชัดแต่เชื่อว่าเสื้อหมายเลข 23 ของ Jordan ถูกขโมยและเขาเองก็ไม่มีเสื้อสำรองทำให้เขาต้องใส่เสื้อเบอร์ 12 ซึ่งเป็นเสื้อสำรองเร่งด่วนไปแข่งในรอบนั้น

The Infrared Brings MJ to The Victory

ในปี 1991 Nike เปิดตัว Air Jordan VI เป็นรองเท้าที่ทำให้ทีม Chicago Bulls ได้ Champ NBA เป็นครั้งแรกสำหรับ Michael Jordan Air Jordan ถึงว่าเป็นอีก 1 รุ่นที่ Tinker Hatfield ออกแบบให้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรถ Porsche 911 ของ Michael Jordan เอง และรองเท้ารุ่นนี้ Jordan เองได้ใส่ในการแข่งขัน NBA Finals กับทีม Los Angeles Lakers ที่นำโดย Magic Johnson นักบาสเก็ตบอลตัว Top ในยุคนั้นและยังได้ตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าที่สุดในทีม ด้วยค่าเฉลี่ย 31.2 แต้ม, 11.4 Assists, 6.8 Rebounds, 2.8 Steals, และ 1.4 Blocks และอีกทั้งยังมีอีกเหตุการณ์สำคัญคือการที่ Jordan ไป Lay Up เปลี่ยนมือกลางอากาศ ทำให้เป็นที่จดจำไปอีกนาน รองเท้ารุ่นนี้ยังเป็น 1 ใน Air Jordan ที่มีคู่สียอดนิยมทั้ง Black/Infrared, White/Infrared และ Carmine

Hare Jordan

เป็นอีก 1 รุ่นที่น่าจดจำกับ Air Jordan VII ด้วยใน 1992 ซึ่งเป็นปีที่เปิดตัว Air Jordan รุ่นนี้เป็นปีที่เขาได้ Champ NBA อีก 1 สมัยพร้อมกับได้เป็น 1 ในทีม Basketball ของประเทศที่ได้ไปแข่งขัน Olympics ซึ่งเป็นปีแรกที่ Olympics อนญุาตให้นักกีฬาอาชีพร่วมการแข่งขันได้ Jordan เองก็ได้ใส่ Air Jordan VII ในคู่สี Olympic เข้าร่วมแข่งขันและได้ชัยชนะกลับมา สำหรับ Air Jordan VII ได้แรงบันดาลใจมาจาก ชนเผ่าแอฟฟริกันสำหรับลายบนรองเท้าและบางส่วนจาก Nike Air Huarache มาใช้รวมถึงเป็นเป็นการตัด Visible Air ออกไปและยังตัดโลโก้ Nike Air ออกไปทำให้ Air Jordan VI เป็นรุ่นสุดท้ายที่มีพืน Visible Air และรองเท้ารุ่นนี้ได้ทำคู่สีอีก 1 คู่สีออกมาโดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Bugs Bunny กระต่ายสุดกวนจาก Looney Tunes เจ้าของวลี "Hey, What's up doc?" จนได้ชื่อว่าเป็น Hare Jordan และยังได้ทำโฆษณากับ Looney Tunes อันเป็นที่จดจำซึ่งในโฆษณา Bugs Bunny ถูกรบกวนโดยกลุมคนที่เล่นบาสเก็ตบอลจนต้องออกมาว่ากลุ่มนั้นแต่ก็ถูกแกล้งจนต้องเรียก Michael Jordan มาช่วย ในโฆษณามีการใส่มุขตลกแบบ Slapstick สไตล์ Looney Tunes และสุดท้าย ทั้งคู่ก็เอาชนะมาได้

No Plea for Glossy Jordan

Air Jordan XI เป็นหนึ่งใน Air Jordan ที่ดูเรียบหรูที่สุดในตระกูล Air Jordan ทั้งหมดด้วยการใช้วัสดุหนังแก้วเป็นครั้งแรกและมีการใช้ Carbon Fiber อีกด้วย แต่หารู้ไม่ แรงบันดาลใจในการออกแบบรองเท้ารุ่นนี้มีที่มาจากสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง "รถตัดหญ้า" Michael Jordan ใส่รองเท้ารุ่นนี้ครั้งแรกในคู่สี Concord ในปี 1995 โดยแข่งกับทีม Orlando Magic แต่ที่น่าตลกก็คือ Tinker Hatfield นักออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ขอร้องให้ Michael Jordan อย่าเพิ่งใส่รองเท้าคู่นี้ลงแข่งเนื่องจากเป็นคู่ทดลองแต่ด้วยความดื้อของ Jordan เอง เขาจึงฝ่าฝืนคำพูดของ Hatfield และใส่รองเท้าคู่นี้ลงแข่ง และโดน NBA สั่งลงโทษ Jordan เนื่องจากผิดกฎเครื่องแต่งกายของสมาคม ไม่พอ ยังมีอีก 1 คู่สีที่เป็นที่จดจำมากที่สุดกับคู่สี Space Jam ซึ่งเป็นสีดำขาว โดยตั้งชื่อตามหนังที่ Michael Jordan เล่นร่วมกับตัวการ์ตูน Looney Tunes และเป็น 1 ในคู่สีที่ Jordan Fans หลายคนตามหามากที่สุด

Last Shot

เป็น 1 ใน Air Jordan รุ่นสุดท้ายที่ Michael Jordan ใส่แข่งขันก่อนที่จะลาจากวงการเป็นรอบสุดท้ายในฐานะ 1 ในสมาชิกทีม Chicago Bulls รองเท้ารุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวของ Jordan เอง ในคราวนี้คือ 1 ในรถสุดโปรดของเขา Ferrari 550 Maranello Insole ของรุ่นนี้บางกว่าเดิม มีการใช้พื้น Zoom Air และยังออกแบบรองเท้าปรับเข้ากับทรงเท้าของผู้ใส่ได้อีกด้วย โดยสีที่เป็นที่จดจำสำหรับรุ่นนี้คือ สี Black/Red หรือในชื่อ 'Last Shot' โดยตั้งตามแต้มสุดท้ายที่ Jordan ทำได้ก่อนจะหมดเวลาและคว้า Champ ที่ 6 ของเขา โดยในตอนนั้น Chicago Bulls ค่อนข้างเสียเปรียบในตอนที่แข่งกับ Utah Jazz ซึ่งมีผู้เล่นเก่งกาจอาทิ Karl Malone และ John Stockton ของ Game 6 ของ NBA Finals ปี 1998 และในช่วง 5.2 วินาทีสุดท้ายของ Quarter ที่ 4 Utah Jazz นำ Bulls อยู่ 1 แต้ม Jordan สามารถทำแต้มแซง Utah Jazz ทำให้ Chicago Bulls ได้แชมป์ ปิดฉากการแข่งของ Michael Jordan ได้สวยงามก่อนที่จะลาวงการไ

Related Posts